ปัจจุบันมีผู้คนมากมายตัดสินใจหันมาใช้รถใช้ถนน ความต้องการในการเป็นเจ้าของยานพาหนะส่วนตัวเพราะหวังว่าจะได้ไม่ต้องไปเบียดกับคนอื่นตอนขึ้นรถไฟฟ้าหรือรถเมล์ ทั้งยังไม่ต้องทนกับอากาศร้อนๆ ในขณะเดียวกันก็มีหลายครั้งที่ผู้ใช้รถใช้ถนนมองข้ามการทำประกันภัยรถยนต์ที่ให้การคุ้มครองอย่างมีประสิทธิภาพและครอบคลุม ทำให้เมื่อเกิดปัญหาก็มักจะเกิดความวุ่นวายตามมาด้วย

การมีประกันรถยนต์ คือ การช่วยลดการสูญเสียทรัพย์สิน จะทำให้เราไม่ต้องวุ่นวายกับการที่จะต้องรับผิดชอบความเสียหายที่เกิดกับทรัพย์สินทั้งของตัวเองและบุคคลภายนอกอยู่คนเดียว การมีประกันภัยรถยนต์เปรียบเสมือนการแบ่งเบาความเสี่ยงหรือภาระที่จะตกอยู่ที่เราไปให้บริษัทประกันช่วยรับผิดชอบไม่ว่าจะเป็นเรื่องของค่าซ่อมรถต่างๆ ความเสียหายของคู่กรณี รวมไปถึงค่ารักษาพยาบาล 

ครอบครัวที่ได้รับผลกระทบจากความเสียหายที่เกิดจากการใช้รถ เช่น ทุพพลภาพหรือเสียชีวิต จะได้รับการชดเชยเพื่อช่วยลดภาระต่างๆ ที่อาจเกี่ยวข้องตามมาภายหลัง และคุ้มครองผลกระทบต่อรายได้เมื่อต้องเข้ารับการรักษาพยาบาลอีกด้วย

ให้ความคุ้มครองเรื่องของความเท่าเทียมตามสิทธิพื้นฐานของมนุษย์ ทั้งต่อตัวผู้เอาประกันภัยเองและบุคคลที่ได้รับผลกระทบจากความเสียหายนี้ จะมีประกันภัยเป็นผู้ช่วยดูแลรับผิดชอบนอกจากนี้ทรัพย์สินสาธารณะที่ได้รับผลกระทบก็จะได้รับความคุ้มครองเช่นเดียวกันกับผู้ขับขี่ ผู้โดยสาร และบุคคลภายนอก

นอกจากจะสามารถช่วยลดภาระด้านงบประมาณของบุคคลแล้วยังสามารถช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายระดับประเทศได้อีกด้วยเพราะไม่ต้องเสียเงินมาซ่อมแซมทรัพย์สินสาธารณะที่เสียหายจากความประมาทในการใช้รถใช้ถนนในตัวบุคคล

นอกจากข้อดีที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว ประกันภัยรถยนต์ก็ยังมีข้อเสียที่หลายคนยังไม่เคยพบเจออยู่เช่นเดียวกัน 

กรณีเกิดอุบัติเหตุและความเสียหายแต่ผู้เอาประกันภัยไม่ได้เป็นคนขับรถเอง กล่าวคือ ถ้าผู้ขับขี่เป็นบุคคลอื่นที่ไม่ใช่เจ้าของและเป็นฝ่ายผิด ผู้เอาประกันภัยเป็นผู้รับผิดชอบค่าเสียหายส่วนแรก

กรณีเคลมประกันบ่อยเกิน 200% อาจทำให้ติดแบล็กลิสต์โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเคลมที่ไม่มีคู่กรณี เพราะบริษัทประกันอาจมองว่าเป็นการเคลมแห้ง ในทางกลับกันถ้าเคลมบ่อยแต่ไม่เกิน 200% จะไม่ติดแบล็กลิสต์ แต่จะถูกเรียกเก็บเบี้ยประกันเพิ่มขึ้นทุนประกันเท่าเดิม รวมถึงอาจไม่ได้รับสิทธิประโยชน์อื่นๆ และอาจถูกพิจารณาไม่ต่อประกันจากบริษัทประกันภัยในปีต่อไปอีกด้วย

การทำประกันภัยรถยนต์ไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อช่วยลดความเสี่ยงของอัตราการเกิดอุบัติเหตุหรือความเสียหายแต่เป็นการคุ้มครองและช่วยเหลือผู้ขับขี่และผู้ใช้รถใช้ถนนคนอื่นๆ หรืออาจจะมองว่าเป็นการเยียวยาทุกฝ่ายที่ได้รับผลกระทบจากความเสียหายที่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิด